เริ่มต้นลงทุนทองคำ ต้องรู้อะไรบ้าง จบในโพสท์เดียว

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ค่าเงินดอลลาร์กำลังเสื่อมค่าด้วยอัตราเร่งจากการพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเพื่อพยุงเศรษฐกิจโดย Federal Reserve : Fed (เฟด) โดยทุกประเทศในโลกมีทุนสำรองเป็นเงินดอลลาร์ ดังนั้นเมื่อค่าเงินดอลลาร์เสื่อมค่า ค่าเงินทุกสกุลในโลกก็จะเสื่อมค่าตามไปด้วย!!!

เมื่อเกิดสภาวการณ์ที่ไม่มั่นคง สินทรัพย์ที่ถูกเรียกว่าเป็น Safe Haven (ทรัพย์สินปลอดภัย) จึงถูกยกขึ้นเป็นที่สนใจอันดับต้นๆนั่นก็คือ “ทองคำ

ทองคำถูกยกให้เป็นแร่ที่มีคุณค่ามาหลายพันปี เนื่องจากมีคุณค่าในตัวเองมีการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย อาทิ 

● ด้านอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทองคำมีค่าการนำไฟฟ้าสูง และมีความคงทนต่อการกัดกร่อน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆขึ้น
● ด้านอวกาศ ถูกนำมาใช้กับดาวเทียม ยานอวกาศ และชุดอวกาศ จากคุณสมบัติการสะท้อนรังสีอินฟราเรดได้ดี
● วงการแพทย์และทันตกรรม มีการใช้ทองคำเพื่อการผลิตฟันปลอม การครอบฟัน เชื่อมฟัน และการเลี่ยมทอง เพราะทองคำมีความคงทนต่อการกัดกร่อน ไม่หมองคล้ำ และยังมีความแข็งแรง

ทองคำมีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเงินตรา “Fiat Currency” (เฟียท เคอเรนซี่ หรือ เงินกระดาษ) ที่ควรรู้คร่าวๆดังนี้
ปี 1900 สภาคองเกรสของอเมริกา ใช้ทองคำ Back up ค่าเงินดอลลาร์เกิดเป็นมาตรฐาน “Gold Standard” โดยเงินดอลลาร์ทุกใบสามารถนำมาแลกเป็นทองคำได้ ในเบื้องต้นกำหนดเป็นค่าคงที่เท่ากับ 20.67$ ต่อ ทองคำ 1 ทรอยออนซ์ (oz) (1 ทรอยออนซ์หนักประมาณ 31.1 กรัม)

ปี 1930 เกิด “Great Depression” (เศรษฐกิจตกต่ำ) ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น “Franklin D. Roosevelt” (แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์) จึงปรับอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับทองเป็น 35$/oz และออกกฎหมายห้ามส่งออกทองคำออกนอกอเมริกาและห้ามประชาชนถือครองทองคำ ทำให้ราคาคงที่ไปถึงปี 1970
ปี 1971 ประธานาธิบดี “Richard Milhous Nixon” (ริชาร์ด นิกสัน) ประกาศยกเลิกมาตรฐานทองคำ โดยเงินดอลลาร์จะไม่มีทองคำBack upอยู่ข้างหลังอีกต่อไป ทำให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นเป็น 120$/oz

● ปลายยุค 1970 ถึงต้นปี 1980 เกิดเงินเฟ้อในอเมริกาสูงมาก ทำให้ราคาทองพุ่งขึ้นเป็น 850$/oz 
● ต่อมาปัญหาเงินเฟ้อคลี่คลาย ราคาก็ตกลงมาตลอด 20 ปี
● ต้นปี 2000 เกิดวิกฤต “Dot-Com Crysis” และเหตุการณ์ 9/11 (เหตุการณ์ก่อการร้ายที่มีเครื่องบินบินชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ของอเมริกา) ทำให้อเมริกาพิมพ์เงินเพื่อซื้ออาวุธจำนวนมาก ทำให้ทองคำพุ่งขึ้นเป็น 1,000$/oz ในปลายปี 2007

จะพบกว่าทุกครั้งที่มีการพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบจะทำให้ค่าเงินเฟียทหรือเงินกระดาษเสื่อมค่า (เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในตัวเองอย่างทองคำ) ซึ่งในขณะนี้เฟดกำลังอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบแบบ Unlimited (ไม่จำกัด) ความเสี่ยงของการเสื่อมค่าอย่างรวดเร็วของค่าเงินดอลลาร์จึงสูงขึ้นเรื่อยๆ

ปกติในการจัดพอร์ทการลงทุนจะแนะนำให้ถือทองคำที่ 10% ของพอร์ตเป็นมาตรฐาน และจากสภาวะความไม่แน่นอนในปัจจุบันการถือทองคำในพอร์ตจึงมีความจำเป็นมากขึ้น

การลงทุนทองคำเป็นการลงทุนเพื่อรักษาความมั่งคั่งในกรณีเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation) หรือเกิดสภาวการณ์ไม่มั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งแนะนำให้เป็นการลงทุนเพื่อรักษาความมั่งคั่ง ไม่เน้นเก็งกำไรนะครับ

ในการจะลงทุนทองคำมีสิ่งที่เราต้องรู้ก่อนดังนี้
● ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ
● ประเภทของทองคำ
● วิธีการซื้อทองคำ แหล่งที่ซื้อที่เชื่อถือได้
● ความเสี่ยงของการซื้อทองคำ

ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ
Demand&Supply ถ้าความต้องการซื้อ ณ ขณะนั้นมาก ราคาทองคำก็จะแพงขึ้น
Economic Data ถ้าเศรษฐกิจโลกดี คนจะไม่ถือทอง ราคาทองคำจะปรับตัวลดลง
Monetary Policy นโยบายทางการเงิน ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากสูง คนก็จะไม่ถือทองคำ ราคาก็จะปรับตัวลดลง
US Dollar Movement ราคาทองคำจะแปรผกผันกับค่าเงินดอลลาร์ ถ้าค่าเงินดอลลาร์เสื่อมค่า ราคาทองคำจะแพงขึ้น
Inflation เงินเฟ้อสูงขึ้นทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้น
Uncertainty ความไม่แน่นอน ถ้าเกิดความไม่แน่นอนขึ้นในโลก นักลงทุนทั่วโลกจะวิ่งเข้าหาทองคำ ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น

ประเภทของทองคำ
ทองคำสามารถแบ่งได้ 2 รูปแบบคือ
1. แบ่งตามเปอร์เซนต์ ทองคำในโลกดังนี้
    ● 99.99% มาตรฐานสากลทั่วโลก
    ● 99.9% ซื้อขายในอินเดีย
    ● 99.5% ซื้อขายในประเทศตะวันออกกลาง
    ● 99.0% ซื้อขายเฉพาะในฮ่องกง
    ● 96.5% ซื้อขายเฉพาะในประเทศไทย

โดยเหตุผลหลักของการที่ไม่ทำทองคำ 100% เพราะจะขึ้นรูปยาก(มีความอ่อน) ในไทยขายทองคำที่ 96.5% อีก 3.5% ที่เหลือจะผสม เงิน ทองแดงและโลหะอื่นๆ
หมายเหตุ ทองคำ 99.99% ในไทยก็มีขายนะ แต่ต้องซื้อขั้นต่ำ 1 กก. (ประมาณ 65.6 บาท)

2.แบ่งตามประเภทการขึ้นรูป ได้แก่
ทองรูปพรรณ ไม่แนะนำในการลงทุนเพราะจะถูกคิดค่ากำเหน็จ (ค่าขึ้นรูปทองคำเป็นลายสวยงาม) และจะถูกหักราคาเวลาเอามาขายด้วย (จะไม่ได้ราคาเต็มตามที่สมาคมค้าทองคำประกาศ)
ทองแท่ง จะมีราคาถูกกว่าทองรูปพรรณที่น้ำหนักทองคำเท่ากัน (แนะนำ) โดยทองคำแท่งถ้าซื้อขั้นต่ำหนัก 5 บาทจะไม่เสียค่าบล็อก(ได้ราคาตามที่สมาคมค้าทองคำประกาศ) แต่ถ้าซื้อต่ำกว่า 5 บาท เช่น 1-4 บาทจะเสียค่าบล็อกเพิ่มบาทละ 300 บาท (โดยประมาณ)

หมายเหตุ ทองคำแท่งที่ขายไซส์เล็กสุดคือหนัก 50 สตางค์ (จะเสียค่าบล็อกเพิ่ม50สตางค์ละประมาณ180บาทครับ)

วิธีการซื้อทองคำ แหล่งที่ซื้อที่เชื่อถือได้
     ร้านทองที่ได้รับใบอนุญาต มีมาตรฐานและเป็นร้านที่ได้รับความน่าเชื่อถือแนะนำ 10 ร้านดังนี้
● ร้านทองออโรร่า (Aurora)
● ร้านทองโซวเซ่งเฮง (SO SENG HENG)
● ร้านทองฮั่วเซ่งเฮง (Hua Seng Heng)
● ร้านทองวายแอลจี พรีเชียส (YLE Precious)
● ร้านขายทองออสซิริส โกลด์ (Ausiris Gold)
● ร้านขายทองจินฮั้วเฮง (Chin Hua Heng)
● ร้านขายทองเยาวราชกรุงเทพ (Yaowarat Krungthep)
● ร้านขายทองตั้งโต๊ะกัง (Tang To Kang)
● ร้านขายทองเอ เอ เยาวราช (AA Gold Smith)
● ร้านทองธนะกิจกรุ๊ป (Tana Kit Group)

นอกจากเลือกร้านที่น่าเชื่อถือแล้ว ควรเลือกร้านทองที่ให้ราคาซื้อ/ขายตามราคาที่สมาคมค้าทองประกาศ (ไม่หักค่าบริการเพิ่ม ในกรณีทองคำแท่ง ส่วนทองคำรูปพรรณจะถูกหักอยู่แล้ว) สามารถเช็คราคาทองคำรายวันได้ที่นี่ >> คลิกลิงก์ที่นี่  และควรขายที่ร้านที่เราซื้อมาจะไม่โดนหักค่าใดๆ โดยส่วนตัวแอดมินใช้บริการร้านทองออโรร่า (แนะนำ) 
หมายเหตุ แอดมินไม่ได้รับค่าโฆษณาใดๆจากร้านออโรร่านะครับ 🙂 🙂 🙂 

     เมื่อเลือกร้านทองที่มีมาตรฐานและน่าเชื่อถือแล้ว เมื่อไปซื้อทอง สิ่งที่ต้องดูทุกครั้งคือการชั่งน้ำหนัก โดยทองรูปพรรณ 1 บาทจะหนัก 15.16 กรัม และทองแท่ง 1 บาทจะหนัก 15.244 กรัม (ต้องเช็คทุกครั้ง)

ความเสี่ยงของการซื้อทองคำ
● เสี่ยงต่อการสูญหายหรือถูกขโมย
● แม้ว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นแต่เราจะไม่สามารถได้รับมูลค่านั้นจนกว่าเราจะขาย

     

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *